พระราชบัญญัติ
เรือนจำทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๙
------------
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘)
อทิตย์ทิพอาภา เจ้าพระยายมราช
พล.อ.เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน
ตราไว้ ณ วันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘
เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า สมควรจัดการเรือนจำฝ่ายทหารเสียใหม่ เพื่อให้เหมาะสมแก่การสมัย จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎรดังต่อไปนี้.-
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติเรือนจำทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๙"
มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๙ เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ตั้งแต่วันใช้พระราชบัญญัตินี้เป็นต้นไป ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับเรือนจำทหารเสียทั้งสิ้น
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
(๑) "เรือนจำ" หมายความว่า ที่ซึ่งรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากรัฐมนตรี
กำหนดให้เป็นเรือนจำของทหาร
(๒) "ผู้ต้องขัง" หมายความรวมตลอดถึง นักโทษ คนต้องขัง และคนฝาก
(ก) "นักโทษ" หมายความว่าบุคคลซึ่งถูกจำคุกภายหลังคำพิพากษาถึงที่สุด
(ข) "คนต้องขัง" หมายความว่า บุคคลที่ถูกขังไว้ตามหมายขัง
(ค) "คนฝาก" หมายความว่าบุคคลผู้ถูกฝากให้ควบคุมไว้ในเรือนจำของทหาร
(๓) "รัฐมนตรี" หมายว่าว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรี มีอำนาจกำหนดอำนาจและหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาเรือนจำ และเจ้าพนักงานเรือนจำ ตลอดจนเงื่อนไขที่จะปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่นั้น
มาตรา ๖ เจ้าพนักงานเรือนจำจะรับบุคคลใดไว้เป็นผู้ต้องขังในเรือนจำได้ ต่อเมื่อได้รับหมายของศาลทหาร หรือหมายขังของผู้มีอำนาจสั่งลงโทษหรือเอกสารอันเป็นคำสั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ
มาตรา ๗ การย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำของทหารไปเรือนจำของฝ่ายพลเรือนหรือย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำของฝ่ายพลเรือนมาเรือนจำของฝ่ายทหารนั้น ให้เป็นไปตามความตกลงระหว่างรัฐมนตรี ในพระราชบัญญัตินี้ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงซึ่งบังคับบัญชาการราชทัณฑ์ ผู้ต้องขังที่ถูกย้ายดังกล่าวแล้วให้มีฐานะอย่างเดียวกับผู้ต้องขังในเรือนจำที่เข้าไปอยู่ใหม่
มาตรา ๘ ผู้ต้องขังต้องอยู่ในบังคับกฎหมายเช่นเดียวกับทหารประจำการ
มาตรา ๙ เมื่อผู้ต้องขังคนใดกระทำความผิด ซึ่งมีลักษณะอย่างที่ผู้บังคับบัญชาทหารจะลงทัณฑ์ทางวินัยแก่ทหารผู้กระทำผิดได้โดยๆไม่ต้องนำคดีขึ้นศาลแล้ว ก็ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาเรือนจำหรือเจ้าพนักงานเรือนจำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัยตามมาตรา ๑๐ ได้ภายในเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด นอกจากนั้นความผิดฐานประทุษร้ายแก่ทรัพย์ของเรือนจำ อันเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ดีฐานพยายามจะหลบหนีก็ดี ให้เป็นไปตามบทบัญญัติในวรรคก่อน
มาตรา ๑๐ ทัณฑ์ทางวินัยที่จะลงแก่ผู้ต้องขังนั้น มีดังนี้
(๑) ภาคทัณฑ์
(๒) งดหรือลดสิทธิต่าง ๆ โดยมีกำหนดเวลา
(๓) ขังเดี่ยวไม่เกินสามเดือน
(๔) ขังห้องมืด ไม่มีเครื่องหลับนอนไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมงในสัปดาห์หนึ่ง โดยความเห็นชอบของแพทย์ฝ่ายทหาร
(๕) เฆี่ยนทราวหนึ่งไม่เกินยี่สิบที ในความควบคุมของแพทย์ฝ่ายทหารแต่ห้ามเฆี่ยนคราวต่อไป เว้นแต่จะล่วงพ้นเวลาสามสิบวันจากวันเฆี่ยนคราวที่แล้ว ถ้าผู้ต้องขังเป็นหญิงห้ามเฆี่ยน
(๖) ใช้หรือเพิ่มเครื่องพันธนาการ
มาตรา ๑๑ ห้ามใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่
(๑) เป็นบุคคลที่น่าจะทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของตนเองหรือผู้อื่น
(๒) เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบอันอาจเป็นภยันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น
(๓) เป็นบุคคลที่น่าจะพยายามหลบหนีการควบคุม
(๔) เมื่อถูกคุมตัวไปนอกเรือนจำ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ
(๕) เมื่อเป็นการสมควรจะต้องใช้เครื่องพันธนาการ เนื่องแต่สภาพของเรือนจำ สถาพของเหตุการณ์ หรือสภาพการณ์ของท้องถิ่น
มาตรา ๑๒ ผู้บังคับบัญชาเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานเรือนจำอาจใช้หรือสั่งให้ใช้อาวุธ แก่ผู้ต้อง ขังได้ภายในบังคับดังนี้
(ก) ใช้อาวุธอื่นนอกจากอาวุธปืน ในกรณี
(๑) เมื่อปรากฎว่าผู้ต้องขังกำลังหลบหนี หรือพยายามจะหลบหนี และไม่มีทางจะป้องกันอย่างอื่น นอกจากใช้อาวุธ
(๒) เมือผู้ต้องขังก่อการวุ่นวาย หรือพยายามใช้กำลังเปิด หรือทำลายส่วนหนึ่งส่วนใดของเรือนจำ
(๓) เมื่อปรากฎว่าผู้ต้องขังจะทำร้ายเจ้าพนักงานหรือผู้อื่น
(ข) ใช้อาวุธปืนในกรณี
(๑) ผู้ต้องขังไม่ยอมวางอาวุธ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้วาง
(๒) ผู้ต้องขังที่กำลังหลบหนีไม่ยอมหยุดในเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้หยุด และไม่มีทางอื่นที่จะจับกุมได้
(๓) ผู้ต้องขังตั้งแต่สามคนขึ้นไป ก่อการวุ่นวาย หรือพยายามใช้กำลังเปิดหรือทำลายส่วนหนึ่งส่วนใดของเรือนจำ หรือทำร้ายเจ้าพนักงานหรือผู้อื่นและไม่ยอมหยุดในเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้หยุด
อนึ่ง ในการจับกุมผู้หลบหนีภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลาที่หนีไปเจ้าพนัก-งานเรือนจำอาจใช้อำนาจตามมาตรานี้ได้โดยอนุโลม
มาตรา ๑๓ ถ้าผู้ต้องขังได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายในขณะช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ผู้กระทำตามหน้าที่ก็ดี ในขณะทำการตามหน้าที่ของตนอันอาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัย หรือชีวิตของผู้ต้องขังก็ดีถ้าเป็นนักโทษ ก็ให้ได้รับสิทธิหรือประโยชน์ตามมาตรา ๑๔ โดยควรแก่พฤติการณ์ หรือถ้าเป็นผู้ต้องขังอื่น รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขให้รางวัลเป็นจำนวนตามสมควรก็ได้ ถ้าประโยชน์นั้นเป็นรางวัล เมื่อผู้ต้องขังตาย ให้จ่ายแก่ผู้รับมรดก
มาตรา ๑๔ นักโทษคนใดมีความประพฤติดี มีความอุตสาหะ ความก้าวหน้าในการศึกษาและการงานเกิดผลดี หรือทำความชอบแก่ราชการเป็นพิเศา อาจได้รับประโยชน์อย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างดังต่อไปนี้
(๑) ให้ได้รับความสะดวกเป็นพิเศษในเรือนจำ ตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดไว้
(๒) เลื่อนชั้น
(๓) ตั้งให้มีตำแหน่งหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจำ
(๔) ลาไม่เกิน ๔ วันในคราวหนึ่ง โดยไม่รวมเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางเข้าด้วยเมื่อมีความจำเป็นอย่างประจักษ์เกี่ยวด้วยกิจธุระสำคัญ หรือกิจการในตครอบครัว แต่ห้ามมิให้ออกไปนอกราชอาณาจักรสยาม และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้ลานี้มิให้หักออกจากการคำนวณกำหนดโทษ
(๕) พักการลงโทษภายในเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด แต่การพักลงโทษนี้ จะถึงกระทำได้ต่อเมื่อนักโทษได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม ของกำหนดโทษที่ต้องรับ ถ้าเป็นกรณีที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี
ทั้งนี้ ให้วางเงื่อนไขที่นักโทษผู้ได้รับการพักโทษ จะต้องปฏิบัติให้มีระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี เว้นแต่กำหนดโทษที่ต้องรับต่อไปเหลือน้อยกว่าหนึ่งปี ก็ให้กำหนดเงื่อนไขเท่าระยะเวลาที่เหลือนั้น นักโทษที่ได้รับอนุญาตให้ลาหรือพักการลงโทษนั้น ไม่พ้นจากฐานะเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๑๕ นักโทษที่ได้รับอนุญาตให้ลาก็ดีหรือได้รับการพักลงโทษก็ดี ถ้าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งซึ่งรัฐมนตรีกำหนด นักโทษผู้นั้นอาจถูกจับโดยไม่ต้องมี่หมายนำเข้าจำคุดต่อไปตามกำหนด โทษที่ยังเหลืออยู่ กับอาจถูกลงทัณฑ์ทางวินัยอีกโสดหนึ่งด้วย ถ้าระหว่างการพักลงโทษ นักโทษผู้นั้นต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ เพราะกระทำความผิดขึ้นอีก ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษหรือประมาท ให้เพิกถอนการพักลงโทษเสีย และให้จับตัวนักโทษผู้นั้นโดยไม่ต้องมีหมายนำเข้าจำคุกต่อไปตามกำหนดโทษที่ยังเหลืออยู่กับอาจลงทัณฑ์ทางวินัยอีกโสดหนึ่งด้วยก็ได้
มาตรา ๑๖ ในกรณีฉุกเฉินอันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต หรือความปลอดภัยของผู้ต้องขัง ถ้าเจ้าพนักงานเรือนจำไม่สามารถจะย้ายผู้ต้องขังไปควบคุมไว้ ณ ที่อื่นได้ทันท่วงที จะปล่อยผู้ต้องขังไปชั่วคราวก็ได้ แต่ผู้ต้องขังที่ถูกปล่อยนั้นต้องกลับไปเรือนจำหรือไปรายงานตนยังที่ตั้งหน่วยทหาร หรือที่ว่าการอำเภอภายในกำหนดยี่สิบสี่ชั่วโมงนับตั้งแต่เวลาที่ปล่อยไปและต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเข้าหน้าที่นั้นๆ ถ้าผู้ต้องขังที่ถูกปล่อยไปละเลยไม่ปฏิบัติดังกล่าวนี้ ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีการควบคุม
มาตรา ๑๗ เมื่อแพทย์ฝ่ายทหารได้ยื่นรายงานแสดงความเห็นว่าผู้ต้องขังคนใดป่วยเจ็บ และถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น รัฐมนตรีจะอนุญาตให้ผู้ต้องขังคนนั้นไปรักษาตัวในสถานที่อื่นใดนอกเรือนจำ โดยมีเงื่อนไขอย่างใดแล้วแต่จะเห็นสมควรก็ได้
ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคก่อนมิให้ถือว่า ผู้ต้องขังนั้นพ้นจากฐานะคุมขังในเรือนจำและถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ซึ่งได้รับอนุญาตให้ไปรักษาตัวให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีการควบคุม
มาตรา ๑๘ ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยการร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัติวินัยทหาร และการอภัยโทษ เปลี่ยนโทษหนักเป็นเบาหรือลดโทษตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้ต้องวขังยังมีสิทธิที่จะยื่นเรื่องราวใดๆ ต่อเจ้าพนักงานเรือนจำ รัฐมนตรีหรือทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้ตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๑๙ ทรัพย์สินซึ่งผู้ต้องขังนำเข้ามาหรือเก็บรักษาไว้ในเรือนจำโดยมิได้รับอนุญาต เพื่อ การนั้นโดยชอบจากเจ้าพนักงานเรือนจำ ถ้าเป็นสิ่งต้องห้ามตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด ให้ผู้บังคับบัญชาเรือนจำริบเป็นของแผ่นดิน ถ้าเป็นสิ่งมีสภาพเป็นของสดเสียได้หรือเป็นของอันตรายหรือโสโครกให้ผู้บังคับบัญชาเรือนจำสั่งทำลายได้ สิ่งของอันจะเก็บรักษาไว้ในเรือนจำไม่ได้ เนื่องจากขนาด น้ำหนักหรือสภาพและผู้ต้องขังไม่สามารถจะฝากไว้แก่ผู้อื่นได้ ผู้บังคับบัญชาเรือนจำ อาจสั่งให้ทำลายหรือขายทอดตลาดเสียได้ เงินจำนวนสุทธิที่ขายทอดตลาดได้ ให้เก็บไว้ให้แก่ผู้ต้องขัง
มาตรา ๒๐ ทรัพย์สินของผู้ต้องขังที่ตกค้างอยู่ในเรือนจำ ให้ผู้บังคับบัญชาเรือนจำสั่งริบเป็นของแผ่นดินได้ ในกรณีต่อไปนี้.-
(๑) ผู้ต้องขังหลบหนีพ้นกำหนดสามเดือน นับจากวันหลบหนี
(๒) ผู้ต้องขังถูกปล่อยตัวแล้วไม่รับทรัพย์สิน หรือรางวัลของตนไปภายในกำหนดหนึ่งปี นับจากวันปล่อยตัว
มาตรา ๒๑ นักโทษที่ถูกปล่อยให้พ้นโทษไปนั้น มีสิทธิได้รับใบสำคัญในการปล่อย
(*)มาตรา ๒๒ ให้นำบทบัญญัติในภาค ๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยอภัยโทษ เปลี่ยนโทษหนักเป็นเบาและลดโทษ มาใช้บังคับแก่กรณีผู้ต้องคำพิพากษาของศาลทหาร สิทธิ
(*)มาตรา ๒๒ แก้ไขใหม่โดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเรือนจำทหาร(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๐๐
และหน้าที่ใดที่กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บัญชาการเรือนจำ และพัศดีนั้น ในพระราชบัญญัตินี้ ให้เป็นสิทธิและหน้าที่ของรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชาเรือนจำ และเจ้าหน้าที่พนักงานเรือนจำแล้วแต่กรณี
มาตรา ๒๓ ผู้ใดเข้าไปเรือนจำโดยมิได้รับอนุญาตก็ดี หรือบังอาจรับปาก หรือส่งมอบแก่ผู้ต้องขัง นำเข้ามาหรือเอาออกไปจากเรือนจำ เงินหรือสิ่งของต้องห้ามโดยทางใด ๆ อันฝ่าฝืนข้อบังคับของเรือนจำก็ดี ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำผิดเป็นผู้บัญชาการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานเรือนจำ ให้เพิ่มโทษเป็น ทวีคูณ เงินและสิ่งของต้องห้ามที่นำเข้ามาในเรือนจำโดยฝ่าฝืนมาตรานี้ให้ริบเป็นของแผ่นดิน
มาตรา ๒๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่รักษาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจออกข้อบังคับ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้.
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
(ลงชื่อ) พ.อ.พหลพลพยุหเสนา
นายกรัฐมนตรี